หนุน รพ.รัฐ – เอกชน ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พร้อมขับเคลื่อนกฎหมายนมผง

  • 12 พฤศจิกายน 2561
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าผลักดันมาตรการเพื่อปกป้อง ส่งเสริมและสนับสนุน การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และขับเคลื่อน กฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 เพื่อให้เด็กไทยมีรากฐานแห่งชีวิตที่มั่นคง สนับสนุนโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่ง จัดบริการที่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
           แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัยและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผย ว่า ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ทางโรงพยาบาลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการขับเคลื่อนกฎหมายนมผงมีการสื่อสารและสร้างการรับรู้ในกลุ่มบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และมีการวางแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ขอแสดงความชื่นชมที่ผู้บริหารและทีมงาน ของทางโรงพยาบาลมีนโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในทุกหน่วยบริการตั้งแต่ฝากครรภ์จนถึงหลังคลอด ส่งเสริมให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเต็มที่
            “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นรากฐานแห่งชีวิตของเด็กทุกคน แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีจุดอ่อน หากไม่ได้รับการกระตุ้นเร็วและบ่อยตั้งแต่ช่วงแรกหลังคลอด อาจทำให้นมไหลช้า ไหลน้อยหรือไม่ไหลในที่สุด ดังนั้น บุคลากรสาธารณสุขและโรงพยาบาลทุกแห่งมีส่วนสำคัญ ในการช่วยเหลือแม่ให้ให้นมลูกได้สำเร็จ เริ่มจากการจัดบริการเพื่อเตรียมพร้อม เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ช่วงฝากครรภ์โดยการให้ความรู้ความเชื่อมั่นแก่แม่และครอบครัว ต่อเนื่องถึงห้องคลอดที่จำเป็นต้องช่วยให้เด็กได้ดูดนมแม่เร็วภายใน 1 ชม.แรกหลังคลอด และดูแลให้เด็กได้อยู่ด้วยกันกับแม่ตลอดหลังคลอด เพื่อให้ได้ดูดนมบ่อยตามความต้องการ ในกรณีที่ต้องใช้นมผงเสริม ก็เป็นไปตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น” แพทย์หญิงอัมพร กล่าว
            รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า หากทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือกันปฏิบัติตามข้อกฎหมาย รวมทั้งสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน โรงพยาบาล สถานที่ทำงาน หรือในชุมชน เชื่อว่าจะช่วยให้เด็กไทยมากกว่าร้อยละ 50 ได้กินนมแม่อย่างเดียวจนถึง 6 เดือนภายในปี 2568 ตามเป้าหมายที่ทั่วโลกตั้งไว้ร่วมกัน เพื่อให้เด็กทุกคนได้มีรากฐานแห่งชีวิตที่ดีที่สุด
 
 ***
 
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 22 สิงหาคม 2561
© DEPARTMENT OF HEALTH : MINISTRY OF PUBLIC HEALTH