กรมอนามัย ชี้ ปวดหลัง – ปวดศีรษะเรื้อรัง – มือชา เสี่ยงออฟฟิศซินโดรม

  • 18 มิถุนายน 2562

          #ANAMAINEWS กรมอนามัย แนะ สังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือน   เสี่ยงป่วยด้วยโรคออฟฟิศซินโดรม คือ ปวดหลังเรื้อรัง หรือปวดศีรษะเรื้อรัง       และมือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค พร้อมย้ำปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงาน

         

          นายแพทย์อรรถพล  แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า วัยทำงานมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ได้ ซึ่งอาการที่เป็นสัญญาณเตือนและพบบ่อยคือ 1) ปวดหลังเรื้อรัง จากการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 8 ชั่วโมง โดยเฉพาะการนั่งหลังค่อม ทำให้กล้ามเนื้อต้นคอ สะบัก เมื่อย เกร็งอยู่ตลอดเวลา ทำให้กระบังลมขยายได้ไม่เต็มที่ สมองได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ ทำให้ง่วงนอน ศักยภาพในการทำงานไม่เต็มร้อย    2) ปวดศีรษะเรื้อรัง(tension headache) ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความร้อน และการขาดฮอร์โมนบางชนิดเป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน และ 3) มือชา เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค การอักเสบของปลอกหุ้มเอ็นข้อมือ เส้นเอ็น นิ้วมือพบมากขึ้น เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ การจับเมาส์ในท่าเดิมนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อกดทับเส้นประสาทและเส้นเอ็นจนอักเสบ เกิดพังผืด ยึดจับบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ปวดปลายประสาท นิ้วล็อค หรือข้อมือล็อคได้ หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาการจะรุนแรงจนถึงขั้น หมอนรองกระดูกเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทได้

          “ทั้งนี้ วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองให้เหมาะสมในขณะทำงาน คือ 1) ปรับความสูงของเก้าอี้และโต๊ะให้เหมาะสม นั่งสบาย 2) หากใช้คอมพิวเตอร์ กึ่งกลางของจอควรอยู่ในระดับสายตา การพิมพ์งาน แป้นคีย์บอร์ดควรอยู่ในระดับข้อศอก ข้อมือ ใช้เมาส์โดยพักข้อศอกบนที่รองแขน และสามารถเคลื่อนไหวได้แบบไม่จำกัดพื้นที่    3) ขณะนั่งทำงาน ควรนั่งหลังตรงชิดขอบด้านในของเก้าอี้ กระพริบตาบ่อย ๆ พักสายตา จากจอคอมพิวเตอร์ทุก ๆ 10 นาที เปลี่ยนท่าการทำงานทุก 20 นาที ยืดเหยียดกล้ามเนื้อมือและแขนทุก 1 ชั่วโมง 4) ปลูกต้นไม้ในร่ม ช่วยดูดซับสารพิษและเป็นที่พักสายตาจากการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์ 5) รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและครบ 5 หมู่     6) ควรเปิดหน้าต่างสำนักงาน เพื่อให้อากาศหมุนเวียนถ่ายเทบ้างอย่างน้อยในตอนเช้าและพักกลางวัน และ          7) ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว

***

 ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 18 มิถุนายน 2562

© DEPARTMENT OF HEALTH : MINISTRY OF PUBLIC HEALTH