กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนคนไทย ลดกินเค็ม กินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน เพื่อลดเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด พร้อมเตือนไม่ควรเลียนแบบพฤติกรรมการกินเกลือปริมาณมาก แบบในคลิปออนไลน์ เสี่ยงโรคไต หรืออาจอันตรายถึงชีวิตได้
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกระแสของชาวต่างชาติ ที่ทำชาเลนจ์ด้วยการกินเกลือ 4 ถุง โดยไม่มีน้ำดื่ม เพื่อแลกเงินผ่านสื่อโซเชียลมีเดียนั้น ขอเตือนว่าไม่ควรเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากการบริโภคเกลือหรืออาหารที่มีรสเค็มมากเกินไป ส่งผลให้ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณสูงเกินความต้องการ ซึ่งปริมาณการบริโภคเกลือที่แนะนำไม่เกิน 1 ช้อนชา หรือน้ำปลาไม่เกิน 4 ช้อนชาต่อวัน โดยจากผลสำรวจปี 2563 พบว่าคนไทยบริโภคโซเดียมสูงถึง 4,351.7 มิลลิกรัมต่อวัน สูงกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึง 2 เท่า ส่งผลทำให้คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งปกติร่างกายได้รับโซเดียมผ่านการบริโภคอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพาะเกลือแกง ใส่ในขั้นตอนการปรุงอาหารหรือเครื่องปรุงที่ให้รสเค็ม เช่น นํ้าปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส และยังพบโซเดียมที่อยู่ในรูปสารประกอบอื่น ๆ ที่อาจไม่มีรสชาติเค็มได้อีกด้วย เช่น ผงชูรสหรือผงฟู ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คนไทย ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมการเติมเกลือ น้ำปลาหรือซอสปรุงรส ในอาหารต่างๆหรือใส่ลงบนอาหารโดยตรง เพื่อเพิ่มรสชาติของอาหาร ทำให้คนไทยเสี่ยงได้รับปริมาณโซเดียมเกินกว่าความต้องการในแต่ละวัน จึงต้องขับโซเดียมส่วนที่เกินออกจากร่างกาย ทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นและเสื่อมเร็วขึ้น อีกทั้งการได้รับโซเดียม ในประมาณสูงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับความดันโลหิต เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจและหลอดเลือด ไต เบาหวาน และอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ และหากกินแต่เกลือรวดเดียวดังปรากฎในคลิปออนไลน์ อาจส่งผลให้ไตพิการ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
“ทั้งนี้ คนไทยควรปรับพฤติกรรมด้วยการอ่านฉลากก่อนซื้อทุกครั้งเลือกใช้เกลือเสริมไอโอดีน นำเครื่องปรุงรสออกจากโต๊ะอาหาร ชิมก่อนปรุงทุกครั้ง ฝึกนิสัยไม่ให้กินเค็ม ลดการกินเครื่องจิ้มต่าง ๆ ใช้เครื่องเทศสมุนไพรแทนเครื่องปรุง และเลี่ยงกินอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปต่าง ๆ เช่น ไส้กรอก ปลาเค็ม ผักกาดดอง เพื่อลดความเสี่ยงจากการได้รับปริมาณโซเดียมมากเกินไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
***
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 27 มีนาคม 2564