กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผย วัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 ปี สามารถฝังยาคุมกำเนิดและห่วงอนามัยได้ ทุกสิทธิสุขภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ และลดปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะวัยรุ่นที่ต้องการคำปรึกษา โทร 1663 ได้ทุกวัน
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า วัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มีสิทธิสามารถเข้ารับการคุมกำเนิดฟรีทุกวิธี รวมถึงยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัยที่โรงพยาบาลเครือข่ายของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทั้งภาครัฐและเอกชน ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 โดยที่ผ่านมากรมอนามัยได้ร่วมกับ สปสช. ส่งเสริมการเข้าถึงบริการยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัยสำหรับวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ต้องการคุมกำเนิด ทุกสิทธิสุขภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานบริการในเครือข่ายของ สปสช. ทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยลดปัญหาแม่วัยรุ่นได้
“ทั้งนี้ ยาฝังคุมกำเนิด เป็นวิธีการควบคุมกำเนิดแบบกึ่งถาวรที่มีประสิทธิภาพสูง มี 2 ชนิด ได้แก่ ยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 1 หลอด จะคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี และยาฝังคุมกำเนิด ชนิด 2 หลอด จะคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี โดยจะฝังใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน และถอดออกเมื่อครบกำหนด ซึ่งข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด ได้แก่ 1) สะดวก มีประสิทธิภาพสูง และคุมกำเนิดได้นาน 2) ไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน 3) ไม่ต้องกังวล เรื่องการตั้งครรภ์ หรือปัญหาลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด และ 4) ใช้ในสตรีให้นมบุตรได้ โดยไม่มีผลต่อปริมาณ และคุณภาพของน้ำนม เมื่อหยุดการใช้ยาฝังคุมกำเนิดจะสามารถกลับสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้เร็ว การฝังยาคุมกำเนิดอาจมีอาการข้างเคียง ได้แก่ ปวดศรีษะ คลื่นไส้ ประจำเดือนมากะปริดกะปรอย เป็นสิว และอารมณ์แปรปรวนได้บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 6 เดือน หากผู้รับบริการยาฝังคุมกำเนิดมีเลือดออกผิดปกติ ปวดศรีษะมาก มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดประจำเดือน หรือประจำเดือนมากะปริดกะปรอย สามารถขอรับคำปรึกษาและการรักษาได้จากผู้ให้บริการ สำหรับวัยรุ่นที่ท้องไม่พร้อมและยังหาทางออกกับปัญหาไม่ได้ สามารถโทรไปปรึกษาดูแลช่วยเหลือตามสภาพปัญหาที่สายด่วน 1663 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. ได้ทุกวัน เพื่อรับบริการปรึกษาทางเลือกและส่งต่อดูแล รวมทั้งการให้บริการแนะแนวทางการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
***
กรมอนามัย / 20 พฤศจิกายน 2564