#ANAMAINEWS กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข เผยผลสำรวจอนามัยโพลต่อประเด็นความกังวลและความรู้สึกต่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 พบสถานการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ส่งผลให้ประชาชนมีความกังวลใจและรู้สึกต้องการฉีดวัคซีนโควิด–19 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 56.5 พร้อมแนะวิธีการเตรียมตัวเมื่อไปฉีดวัคซีน และยังคงเคร่งครัดปฏิบัติตนตามมาตรการ DMHTTA และประเมินความเสี่ยงผ่านเว็บไซต์ “ไทยเซฟไทย”
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัยอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการสำรวจผลอนามัยโพล เมื่อช่วงวันที่ 14 เมษายน ถึง 2พฤษภาคม 2564 มีจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 11,093 คน ต่อประเด็นเรื่องความกังวลและความรู้สึกต่อการฉีดวัคซีน โควิด-19 พบว่าในภาพรวมประชาชนมีความกังวลใจเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่มีจำนวนผู้ป่วยและจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังวันที่ 23 เมษายน 2564ที่มีจำนวนผู้ป่วยมากกว่า 2,000 ราย ส่งผลให้ประชาชนมีความกังวลถึงร้อยละ 97.8และความรู้สึกอยากฉีดวัคซีนได้มีการเปลี่ยนแปลงความคิดตามสถานการณ์ซึ่งพบแนวโน้มที่ต้องการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวการเสียชีวิตของนักแสดงตลกชื่อดังและมีจำนวนผู้เสียชีวิตเกิน20 ราย ยิ่งเป็นความกังวลใจทำให้ประชาชนอยากฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 56.5
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเตรียมตัวไปฉีดวัคซีนนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้มี 7 ข้อแนะนำดังนี้ 1) สองวันก่อนและหลังการฉีดวัคซีนให้งดออกกำลังกายหนัก หรือยกน้ำหนัก และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ2) วันที่ฉีดควรกินน้ำอย่างน้อย 500-1,000 ซีซี งดชา กาแฟ หรือของที่มีคาเฟอีน รวมถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์3) ฉีดแขนข้างที่ไม่ค่อยถนัด และหลังฉีดสองวันอย่าใช้แขนนั้น อย่าเกร็งยกของหนัก 4) หลังฉีดแล้วเจ้าหน้าที่จะให้รอดูอาการในบริเวณที่ฉีด 30 นาที 5) ถ้ามีไข้ หรือปวดเมื่อยมากทนไม่ไหว สามารถกินยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละหนึ่งเม็ดซ้ำได้ถ้าจำเป็นแต่ให้ห่าง6 ชั่วโมง ห้ามกินยาพวก Brufen, Arcoxia, Celebrex เด็ดขาด6) การฉีดวัคซีนโควิดควรห่างกับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างน้อย 1 เดือนและ 7) ถ้ากินยาละลายลิ่มเลือดอยู่ ก็ให้กินยาตามปกติ แต่เมื่อฉีดยาแล้วให้กดนิ่งตรงตำแหน่งที่ฉีดต่ออีก 1 นาที
“ขณะนี้แม้ว่าประชาชนจะมีความต้องการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นแต่สิ่งสำคัญคือการป้องกันตัวเองตามมาตรการ DMHTTA ซึ่งจากข้อมูลอนามัยโพลล่าสุดพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีการสวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อไปในที่สาธารณะถึงร้อยละ 97.8 รองลงมาคือการตรวจวัดไข้ก่อนเข้าออกในสถานที่ต่างๆ ร้อยละ 95.2 และล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 91สำหรับพฤติกรรมสุขภาพที่ประชาชนยังไม่ค่อยได้ปฏิบัติตามมาตรการคือ การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสร่วม โดยมีพฤติกรรมดังกล่าวเพียง ร้อยละ 69.3 และมีการลงทะเบียนในแอปพลิเคชัน“ไทยชนะ” ร้อยละ 70.2 จึงต้องเน้นย้ำให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดนอกจากนี้ ขอความร่วมมือประชาชนประเมินความเสี่ยงตนเองทุกวันว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือใหม่ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆที่ทางราชการกำหนดหรือเลือกใช้การประเมินตนเองผ่านเว็บไซต์ “ไทยเซฟไทย” ที่ช่วยคัดกรองเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 สู่ครอบครัว เพื่อนร่วมงานและชุมชน รวมถึงลดความรุนแรงหากมีความเสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาหรือพบแพทย์ได้เร็วขึ้น” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
***
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 6 พฤษภาคม 2564