#ANAMAINEWS กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สัปดาห์นมแม่โลกในเดือนวันแม่แห่งชาติ ภายใต้แนวคิด “A Shared Responsibility Protect Breastfeeding : ร่วมมือ รวมพลัง ปกป้องสังคมนมแม่”พร้อมตั้งเป้าหมาย ปี 2568 ทารก ร้อยละ 50 จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน
วันนี้ (5 สิงหาคม 2564) ดร.สาธิตปิตุเตชะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวรณรงค์การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สัปดาห์นมแม่โลกในเดือนวันแม่แห่งชาติ ภายใต้แนวคิด “A Shared Responsibility Protect Breastfeeding : ร่วมมือ รวมพลัง ปกป้องสังคมนมแม่”ณ ห้องประชุมกำธร สุวรรณกิจ อาคาร 1 ชั้น 1 กรมอนามัยว่านานาประเทศได้ร่วมกันกำหนดให้วันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปีเป็นสัปดาห์นมแม่โลก หรือ World Breastfeeding Week เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญและมีทัศนคติที่ดีในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ซึ่งจากผลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ของสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ในปี 2562 (MICS 6)พบว่ามีทารกไทยเพียงร้อยละ 34 ได้กินนมแม่ภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และมีเพียงร้อยละ 14 ที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง6 เดือนแรกของชีวิต และยังมีทารกเพียงร้อยละ 15 ที่ได้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี จึงเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกันสนับสนุนและปกป้องให้เด็กไทยทุกคนได้กินนมแม่ตามสิทธิของเด็กเพื่ออนาคตของประเทศไทย
“กระทรวงสาธารณสุขจึงได้มีนโยบายส่งเสริม สนับสนุนและปกป้องให้เด็กทุกคนได้กินนมแม่อย่างต่อเนื่อง ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ กินนมแม่ตั้งแต่1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต และกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่อาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น โดยตั้งเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขไว้ว่าในปี 2568 ทารกร้อยละ 50 จะได้กินนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือน ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายของทุกประเทศทั่วโลก” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
ทางด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ยิ่งทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว6 เดือน เป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้นจากความสมบูรณ์ของสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก และสร้างภูมิคุ้มกันโรคและแม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ในทุกสถานการณ์ โดยก่อนการให้นมลูกทุกครั้งควรเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมและล้างมือด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาทีก่อนให้นม รวมทั้งสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ให้นมบุตรแม้แต่ในกรณีที่แม่เป็นผู้เข้าข่ายสงสัยติดเชื้อหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 นั้น ก็ยังคงสามารถให้นมลูกได้ ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNICEF) ว่า หากแม่ที่ติดเชื้อมีอาการไม่มาก สามารถให้นมจากเต้าได้แต่ต้องมีการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้ออย่างเคร่งครัดโดยสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมืออย่างถูกวิธี และห้ามใช้มือสัมผัสบริเวณใบหน้า จมูกหรือปากรวมถึงการหอมแก้มลูก
“ทั้งนี้ ควรให้คุณแม่และครอบครัวมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหากคุณแม่ไม่สะดวกที่จะให้นมจากเต้า แต่ยังสามารถบีบเก็บน้ำนมได้ ควรให้พ่อหรือผู้ช่วยเป็นผู้ป้อนนมแก่ลูกแทน โดยผู้ช่วยจะต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี มีทักษะในการให้นมและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้ออย่างเคร่งครัด ในกรณีที่แม่ติดเชื้อมีอาการรุนแรง แนะนำงดให้นมบุตร และอาจบีบน้ำนมทิ้งไปก่อนเพื่อให้แม่คงสภาพที่สามารถให้นมลูกได้เมื่ออาการดีขึ้น นอกจากนี้ แม่หลังคลอดให้นมลูก ควรไปฉีดวัคซิน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ลดการเจ็บป่วยรุนแรง ซึ่งภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในแม่ยังสามารถส่งผ่านน้ำนมไปยังลูกได้”อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
***
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ/5 สิงหาคม 2564