กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน กินให้ถูกหลักโภชนาการ เพื่อให้มีแรงทำงานและส่งผลดีต่อสุขภาพ
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ผู้ใช้แรงงาน เช่น รับจ้าง แบกหาม สร้างถนน สร้างบ้าน เป็นกลุ่มอาชีพที่ต้องใช้พลังงานในการทำงานสูง การเลือกกินอาหาร จึงควรมีความสมดุลกับพลังงานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะควรกินอาหารที่จะทำให้มีเรี่ยวแรงทำงานได้อย่างไม่ติดขัด กลุ่มผู้ใช้แรงงานควรหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหาร เพื่อให้มีแรงทำงานและส่งผลดีต่อสุขภาพ ซึ่งผู้ใช้แรงงานจำเป็นต้องได้รับพลังงานมากกว่าผู้ประกอบอาชีพที่ไม่ใช้แรงงาน รวมถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล โดยอาหารหลักที่จะให้พลังงานในการทำงานออกแรง คือ ข้าวแป้ง และไขมัน แต่หากผู้ใช้แรงงานเน้นกินข้าว แป้ง และไขมันเป็นจำนวนมาก กินเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้น้อย จะทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุที่มีอยู่ในเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้
นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า หากอยากกินอาหารให้ได้พลังงาน มีแรงดี ต้องได้รับพลังงานและสารอาหารครบถ้วน แนะนำกินตามธงโภชนาการให้ครบ 5 หมู่ ทั้งคาร์โบไฮเดรตจากข้าว โปรตีนจากสัตว์หรือถั่ว วิตามินและเกลือแร่จากผักและผลไม้ รวมทั้งไขมันแต่น้อย โดยพลังงานที่ผู้ใช้แรงงานต้องการในแต่ละวัน คือ วันละ 2,400 กิโลแคลอรี แบ่งเป็นกลุ่มข้าวและแป้ง เน้นชนิดไม่ขัดสี วันละ 12 ทัพพี และกลุ่มเนื้อสัตว์ วันละ 12 ช้อนกินข้าว ควรกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการแปรรูปสลับกับกินถั่วเมล็ดแห้ง และกินไข่ทั้งฟอง จะได้ทั้งโปรตีนและไขมันดี ดื่มนมวันละ 1 – 2 แก้ว ถ้าหากดื่มนมวัวไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลืองหรือนมจากธัญพืชแทน หรือกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ กินผักให้หลากหลายสี วันละ 6 ทัพพี และผลไม้รสไม่หวานจัด ปริมาณ 1 ฝ่ามือหรือ 6 – 8 ชิ้นคำต่อมื้อ เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน 1 ผล บริโภคน้ำตาล ไขมัน และเกลือแต่น้อย
“นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้มาก วันละ 2 ลิตร เพื่อให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี และกินอาหารให้เป็นเวลา ไม่งดอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ซึ่งถือเป็นมื้อสำคัญ สำหรับการทำงานทั้งวันที่ต้องใช้พลังงานมาก รวมทั้งไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนเพื่อกระตุ้นการทำงาน หากต้องการดื่มจริง ๆ ให้เลือกดื่มกาแฟดำ แต่ไม่ควรเกินวันละ 2 ถ้วย ควรงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว
***
กรมอนามัย / 2 พฤษภาคม 2565