แม่และเด็ก

เด็กจมน้ำ ป้องกันได้

  • โดย ศูนย์สื่อสารสาธารณะ
  • 21 พฤษภาคม 2561

กิจกรรมหนึ่งที่เด็กๆ ชื่นชอบ คือ การเล่นน้ำ ในช่วงหน้าร้อนทั้งสระว่ายน้ำ สวนน้ำ สถานที่ท่องเที่ยวตามน้ำตก และแหล่งน้ำธรรมชาติ บ่อหรือคลอง จะได้รับความนิยมเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ของครอบครัว แต่อุบัติเหตุการจมน้ำทำให้ความสนุกสนานกลายเป็นเรื่องเศร้าเพราะบางรายถึงขั้นเสียชีวิต ในรอบ 10 ปี (ปี 2546-2556) พบตัวเลขที่น่าตกใจ มีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำ เฉลี่ยปีละ 1,388 คน หรือวันละ 4 คน โดยเกิดเหตุตามแหล่งน้ำธรรมชาติมากที่สุด รองลงมา คือ สระว่ายน้ำและอ่างอาบน้ำ ซึ่งสาเหตุการจมน้ำนั้น เกิดจากการที่เด็กลงไปเล่นน้ำ และไม่ได้เล่นน้ำ เช่น การเล่นบริเวณใกล้ๆ แหล่งน้ำจนพลัดตกน้ำ ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ และไม่ควรปล่อยให้ลูกหลานเล่นน้ำตามลำพัง ซึ่งวิธีการดูแลและข้อควรระวังเพื่อป้องกันเด็กจมน้ำทำได้ ดังนี้

เด็กอายุ 1-4 ปี

จะเกิดอุบัติเหตุจมน้ำในแหล่งน้ำบริเวณรอบบ้าน ผู้ปกครองควรดูแลเด็กใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำในสระน้ำ ตามลำพัง สร้างสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัย ด้วยการปิดประตูห้องน้ำให้สนิท จัดให้มีฝาปิดหรือ ครอบภาชนะกักเก็บน้ำ ทำรั้วกั้นบริเวณรอบบ่อน้ำ ไม่ให้เด็กเล่นใกล้แหล่งน้ำหรือริมตลิ่งน้ำ เพราะเด็กอาจลื่นตกน้ำได้

เด็กอายุ 5-17 ปี

จะเกิดอุบัติเหตุจมน้ำและเสียชีวิตบริเวณ แหล่งน้ำในชุมชนหรือแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ผู้ปกครองควรสอนให้เด็กว่ายน้ำเป็น และดูแล เด็ใกล้ชิดขณะเล่นน้ำ หากเด็กเป็นตะคริวหรือ ถูกคลื่นน้ำดูด จะได้ช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที กรณีพาเด็กไปท่องเที่ยวทางน้ำ ควรให้เด็กสวมเสื้อชูชีพทุกครั้ง จะได้ใช้พยุงตัวรอการช่วยเหลือ กรณีเรือล่มหรือพลัดตกน้ำ

การป้องกันตนเองสำคัญที่สุดสำหรับเด็ก ควรสนับสนุนให้เด็กเรียนหรือฝึกว่ายน้ำ เพื่อให้ มีความรู้และทักษะการเอาชีวิตรอด พ่อแม่ ผู้ปกครองควรมีความรู้การช่วยเหลือเด็ก เมื่อเกิดเหตุขณะเล่นน้ำ การเล่นนำ้ในสระว่ายน้ำ เด็กๆ ควร ปฏิบัติตามกฎระเบียบ หรือข้อบังคับต่างๆ เพื่อลดอุบัติเหตุจากการจมน้ำ

[แม่และเด็ก]
กองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

เลขที่ 88/22 ถ.ติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี

Email prnews@anamai.mail.go.th

โทรศัพท์ 0-2590-4053

ติดตามกรมอนามัย

เรามีสาระสุขภาพดีๆ ส่งตรงถึงอีเมลคุณทุกสัปดาห์

Subscription

© DEPARTMENT OF HEALTH : MINISTRY OF PUBLIC HEALTH